วองโกเล่แฟมิลี่
Vongola family หรือ วองโกเล่ แฟมิลี่ เป็นแก๊งมาเฟียที่มีชื่อเสียงโด่งดังอันดับต้น ๆ เป็นแฟมิลี่สุดแกร่งมีอาณาเขตยึดครองอยู่ทั่วยุโรป มีประวัติยาวนานถึง 400 ปี ซึ่งเจตนาในการก่อตั้งแก๊งค์คือต้องการปกครองหรือปกป้องเมือง เพื่อน ๆ และคนที่รัก จากบรรดาแก๊งมาเฟียต่าง ๆ ในแบบฉบับของมาเฟีย เนื่องจากสมัยนั้นเป็นยุคบุกเบิกของมาเฟียอิตาลี จึงทำให้มีมาเฟียแก๊งต่าง ๆ ออกมาอาละวาดก่อสร้างความวุ่นวายทำร้ายผู้คนในเมืองต่าง ๆ ทั่วอิตาลี แม้กระทั่งกฎหมายและตำรวจก็ไม่สามารถแก้ไขได้พรีโม่ (วองโกเล่รุ่นที่ 1) ที่สมัยนั้นอายุรุ่นราวคราวเดียวกับสึนะต้องการปกป้องเมืองของตัวเองเลยคิดวิธีหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง มันเป็นมาเฟียเราก็ต้องเป็นมาเฟีย ที่ทำเรื่องนอกกฎหมายต่อสู้กับมาเฟียเพื่อปกป้องเมือง แรกเริ่มเดิมทีคือการตั้งศาลเตี้ยและขยายอิทธิพลแก๊งค์มาเป็นวองโกเล่แฟมิลี่จนถึงปัจจุบัน และมีกฎเหล็กว่าผู้ที่สืบทอดตำแหน่งบอสจะต้องมี "สายเลือดแห่งวองโกเล่ :Blood Of Vongala" เท่านั้นและผู้ที่มี Blood Of Vongala จะมีความสามารถที่สืบทอดให้กันในสายเลือดวองโกเล่คือ "สุดยอดลางสังหรณ์" ซึ่งผู้สืบทอดตำแหน่งบอสจะมีชื่อเรียกขานต่าง ๆ กันดังต่อไปนี้ วองโกเล่รุ่นที่หนึ่ง (Primo) มีชื่อเรียกว่า Giotto (จีอ็อตโต้) อาวุธคือถุงมือรูปแบบเดียวกับ สึนะ เป็นบุคคลที่ถูกกล่าวขานว่า เป็นหัวหน้าที่แข็งแกร่งที่สุดของวองโกเล่ จนได้รับขนานนามว่า "บุรุษแห่งนภา" วองโกเล่รุ่นแรก ขอเพียงเป็นคนที่ถูกใจ จะเป็นใครมาจากไหน ก็ยอมรับได้หมด แฟมิลี่รุ่นแรกมีทั้ง กษัตริย์ ทหาร มาเฟียคู่แข่ง ผู้นำลัทธิ มีท่าไม้ตายที่ถูกเรียกว่าเป็นตำนานว่า"เดือดทะลุจุดศูนย์" จากเหตุการณ์ขัดแย้งกับรุ่นที่ 2 ที่เป็นพี่น้องต่างมารดากัน ซึ่งจีอ๊อตโต้ไม่อยากจะมีเรื่องบาดหมางกับพีน้องของตัวเองจึงได้ล้างมือจากวงการมาเฟียมาอยู่ที่ญี่ปุ่นโดยการชักชวนอาซาริ อุเกทสึ ผู้พิทักษ์แห่งพิรุณและได้เปลี่ยนชื่อเป็น ซาวาดะ อิเอยะสึ พรีโม่หรือจีอ๊อตโต้มีลูกด้วยกัน 2 คน อยู่ที่ญี่ปุ่น 1 คนและอยู่ที่อิตาลี อีก 1 คน ชื่อSimora นั่นก็คือSesto วองโกเล่รุ่นที่ 6
--------------------------------------------------------------------------------------------
วองโกเล่รุ่นที่สอง (Secondo) หรือเรียกกันว่าริคาโด้ เป็นพี่น้องต่างมารดากับจีอ๊อตโต้ มีนิสัยโหดร้ายต้องการจะให้วองโกเล่เป็นมาเฟียที่โหดร้ายครอบครองสังคมมืดทั้งหมด จึงเป็นเหตุให้มีข้อขัดแย้งกับพรีโม่ จนในที่สุดตัวเองก็ได้เป็นบอสของวองโกเล่รุ่นที่ 2 ซึ่งเมื่อเขาได้รับตำแหน่งนี้เขาได้ใช้ความหวาดกลัวครอบครองสังคมมืด และวองโกเล่ก็ได้เริ่มแปรเปลี่ยนจากที่เป็นมาเฟียเพื่อดูแลความสงบสุขของเมือง มาเป็นมาเฟียในแบบที่โหดร้ายก็ในยุคของเขาวองโกเล่เซคันต์ มีไฟ "เพลิงพิโรธ" ซึ่งเป็นไฟที่มีความรุนแรงสูงมาก ไม่ใช้อาวุธ ใช้มือเปล่าเท่านั้น จะใช้ก็ต่อเมื่อโกรธจึงจะใช้ "เพลิงพิโรธ"
----------------------------------------------------------------------------------------------------
วองโกเล่รุ่นที่สาม (Terzo) อาวุธ มีด
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วองโกเล่รุ่นที่สี่ (Quarto) อาวุธคือ ส้อม
----------------------------------------------------------------------------------------------
วองโกเล่รุ่นที่ห้า (Quinto) อาวุธ กรรไกร
-----------------------------------------------------------------------------------------------
วองโกเล่รุ่นที่หก (Sesto) มีชื่อเรียกว่า Simora (ซิโมร่า) เป็นลูกชายของวองโกเล่รุ่นที่ 1 อาวุธบูมเมอร์แรง
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
วองโกเล่รุ่นที่เจ็ด (Settimo)มีชื่อเรียกว่า Fabio(แฟบิโอ้) อาวุธคือ ปืนที่มีสัญลักษณ์ ในบรรดาหัวหน้าแก๊ง รุ่นที่ 7 มีพลังไฟ รุนแรงน้อยที่สุดในบรรดาหัวหน้าแก๊ง แต่เพราะมีปืนที่สามารถบรรจุไฟทีละน้อยๆ แล้วยิงออกมาอย่างรุนแรงได้ จึงจัดได้ว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดหัวหน้าแก็งมาเฟียเลยทีเดียว และได้ดัดแปลงกระสุนดับเครื่องชนเองด้วย จากแผงผังตระกูลวองโกเล่เขาคือลูกชายของรุ่นที่หก
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
วองโกเล่รุ่นที่แปด (Ottavo) ชื่อของเธอคือ Daniela (ดานิเอล่า) อาวุธ หน้าไม้ เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เป็นบอสของวองโกเล่จากแผงผังตระกูลวองโกเล่เขาคือลูกสาวของรุ่นที่เจ็ด
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วองโกเล่รุ่นที่เก้า (Nono) มีชื่อเรียกว่า Timoteo (ทิมอเทโอ) อาวุธ คฑา ผู้ที่ถูกขนานนามว่า ได้รับฉายา เลือกสรรค์ของพระเจ้า เพราะเป็นผู้ที่มีสายตาที่มองคนทะลุปรุโปร่งและสามารถใช้ท่าที่เป็นตำนานของวองโกเล่รุ่นที่ 1 "เดือดทะลุจุดศูนย์" ได้
---------------------------------------------------------------------------------------------------
วองโกเล่รุ่นที่สิบ (Decimo) อาวุธคือ X Glove ถุงมือ ที่มีตัว X หรือ เลข 10 ของโรมัน เป็นเครื่องหมาย โดยในศึกภาคอนาคต X Glove สามารถรวมพลังกับแหวนแห่งนภา ได้มาจากการทดสอบในตำนานที่หัวหน้าแก๊งวองโกเล่ทุกคนต่างได้รับการทดสอบมาแล้ว กลายเป็น X Glove Ver.Vongola Ring โดยสัญลักษณ์ของวองโกเล่ จะเข้ามาแทนที่ ตัว X ท่าไม้ตาย เดือดทะลุจุดศูนย์ , เดือดทะลุจุดศูนย์ฉบับดัดแปลง , X Buster , X-Burner , X-Stream , X-burner air เมื่อใช้ท่าเดือดทะลุจุดศูนย์ฉบับต้นตำหรับ และเป็นบอสวองโกเล่คนเดียวนอกจากรุ่นที่ 1 ที่สามารถปลกพลังของแหวนวองโกเล่ให้กลับมาเป็นรูปลักษณ์เดิมได้เพราะได้เข้าใจเจตนาของวองโกเล่ของรุ่นที่หนึ่งนั่นเอง
|
ที่เที่ยวทั่วไทย
วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556
ประวัติวองโกเล่แฟมมิลี่รุ่นที่1-10 รีบอร์น
ตำนานวันคริสต์มาส
คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas
เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร
ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย
เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม


คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas
เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร
เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม
วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556
ระบบสุริยะ
ระบบสุริยะ (Solar System) ประกอบด้วยดวงอาทิตย์และวัตถุอื่นๆ
ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์เนื่องจากแรงโน้มถ่วง ได้แก่ ดาวเคราะห์ 8 ดวงกับดวงจันทร์บริวารที่ค้นพบแล้ว 166
ดวง ดาวเคราะห์แคระ 5 ดวงกับดวงจันทร์บริวารที่ค้นพบแล้ว
4 ดวง กับวัตถุขนาดเล็กอื่นๆ อีกนับล้านชิ้น ซึ่งรวมถึงดาวเคราะห์น้อย วัตถุในแถบไคเปอร์ ดาวหาง สะเก็ดดาว และฝุ่นระหว่างดาวเคราะห์
โดยทั่วไปแล้วจะแบ่งย่านต่างๆ
ของระบบสุริยะ นับจากดวงอาทิตย์ออกมาดังนี้คือ ดาวเคราะห์ชั้นในจำนวน 4 ดวง แถบดาวเคราะห์น้อย ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่รอบนอกจำนวน
4 ดวง และแถบไคเปอร์ซึ่งประกอบด้วยวัตถุที่เย็นจัดเป็นน้ำแข็ง
พ้นจากแถบไคเปอร์ออกไปเป็นเขตแถบจานกระจาย ขอบเขตเฮลิโอพอส (เขตแดนตามทฤษฎีที่ซึ่งลมสุริยะสิ้นกำลังลงเนื่องจากมวลสารระหว่างดวงดาว) และพ้นไปจากนั้นคือย่านของเมฆออร์ต
กระแสพลาสมาที่ไหลออกจากดวงอาทิตย์
(หรือลมสุริยะ) จะแผ่ตัวไปทั่วระบบสุริยะ
สร้างโพรงขนาดใหญ่ขึ้นในสสารระหว่างดาวเรียกกันว่า เฮลิโอสเฟียร์ ซึ่งขยายออกไปจากใจกลางของแถบจานกระจาย
ดาวเคราะห์ชั้นเอกทั้ง
8 ดวงในระบบสุริยะ เรียงลำดับจากใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดออกไป มีดังนี้คือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน
นับถึงกลางปี ค.ศ. 2008 วัตถุขนาดย่อมกว่าดาวเคราะห์จำนวน 5 ดวง ได้รับการจัดระดับให้เป็นดาวเคราะห์แคระ ได้แก่ ซีรีสในแถบดาวเคราะห์น้อย
กับวัตถุอีก 4 ดวงที่โคจรรอบดวงอาทิตย์อยู่ในย่านพ้นดาวเนปจูน
คือ ดาวพลูโต (ซึ่งเดิมเคยถูกจัดระดับไว้เป็นดาวเคราะห์) เฮาเมอา มาคีมาคี และ อีรีส
มีดาวเคราะห์
6 ดวงและดาวเคราะห์แคระ 3 ดวงที่มีดาวบริวารโคจรอยู่รอบๆ
เราเรียกดาวบริวารเหล่านี้ว่า "ดวงจันทร์" ตามอย่างดวงจันทร์ของโลก
นอกจากนี้ดาวเคราะห์ชั้นนอกยังมีวงแหวนดาวเคราะห์อยู่รอบตัวอันประกอบด้วยเศษฝุ่นและอนุภาคขนาดเล็ก
สำหรับคำว่า ระบบดาวเคราะห์ ใช้เมื่อกล่าวถึงระบบดาวโดยทั่วไปที่มีวัตถุต่างๆ
โคจรรอบดาวฤกษ์ คำว่า
"ระบบสุริยะ" ควรใช้เฉพาะกับระบบดาวเคราะห์ที่มีโลกเป็นสมาชิก
และไม่ควรเรียกว่า "ระบบสุริยจักรวาล" อย่างที่เรียกกันติดปาก
เนื่องจากไม่เกี่ยวข้องกับคำว่า "จักรวาล" ตามนัยที่ใช้ในปัจจุบัน
ประวัติการค้นพบและการสำรวจนับเป็นเวลาหลายพันปีในอดีตกาลที่มนุษยชาติไม่เคยรับรู้มาก่อนว่ามีสิ่งที่เรียกว่า
ระบบสุริยะ แต่เดิมมนุษย์เชื่อว่า โลกเป็นศูนย์กลางจักรวาลที่อยู่นิ่ง มีดวงดาวต่างๆ โคจรไปรอบๆ ผ่านไปบนท้องฟ้า
แม้ว่านักดาราศาสตร์และนักคณิตศาสตร์ชาวอินเดียชื่อ Aryabhata และนักปรัชญาชาวกรีก Aristarchus เคยมีแนวคิดเกี่ยวกับการที่ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางจักรวาล และจัดลำดับจักรวาลเสียใหม่
แต่ผู้ที่สามารถคิดค้นแบบจำลองทางคณิตศาสตร์เพื่อพิสูจน์แนวคิดนี้ได้สำเร็จเป็นคนแรกคือ นิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีผู้สืบทอดแนวทางการศึกษาของเขาต่อมา
คือกาลิเลโอ กาลิเลอี โยฮันเนส เคปเลอร์ และ ไอแซค นิวตัน พวกเขาพยายามทำความเข้าใจระบบทางฟิสิกส์และเสาะหาหลักฐานการพิสูจน์ยืนยันว่า โลกเคลื่อนไปรอบๆ ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทั้งหลายต่างก็ดำเนินไปภายใต้กฎทางฟิสิกส์แบบเดียวกันนี้
ในยุคหลังต่อมาจึงเริ่มมีการสืบสวนค้นหาปรากฏการณ์ทางภูมิธรณีต่างๆ เช่น เทือกเขา
แอ่งหิน ปรากฏการณ์สภาพอากาศที่แปรเปลี่ยนตามฤดูกาล การศึกษาเกี่ยวกับเมฆ พายุทราย
และยอดเขาน้ำแข็งบนดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ
การสำรวจยุคแรก
การสำรวจระบบสุริยะในยุคแรกดำเนินไปได้โดยอาศัยกล้องโทรทรรศน์ เพื่อช่วยนักดาราศาสตร์จัดทำแผนภาพท้องฟ้าแสดงตำแหน่งของวัตถุที่จางเกินกว่าจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
กาลิเลโอ กาลิเลอี คือผู้แรกที่ค้นพบรายละเอียดทางกายภาพของวัตถุในระบบสุริยะ
เขาค้นพบว่าผิวดวงจันทร์นั้นขรุขระ
ส่วนดวงอาทิตย์ก็มีจุดด่างดำ และดาวพฤหัสบดีมีดาวบริวารสี่ดวงโคจรไปรอบๆ[6] คริสเตียน ฮอยเกนส์ เจริญรอยตามกาลิเลโอโดยค้นพบไททัน ดวงจันทร์ของดาวเสาร์ รวมถึงวงแหวนของมันด้วย[7] ในเวลาต่อมา จิโอวันนี โดเมนิโก กัสสินี ค้นพบดวงจันทร์ของดาวเสาร์เพิ่มอีก 4 ดวง
ช่องว่างในวงแหวนของดาวเสาร์ รวมถึงจุดแดงใหญ่บนดาวพฤหัสบดี[8]
ปี
ค.ศ. 1705 เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ ค้นพบว่าดาวหางหลายดวงในบันทึกประวัติศาสตร์ที่จริงเป็นดวงเดิมกลับมาปรากฏซ้ำ
ถือเป็นการพบหลักฐานชิ้นแรกสำหรับการโคจรรอบดวงอาทิตย์ของวัตถุอื่นนอกเหนือจากดาวเคราะห์[9] ในช่วงระยะเวลาเดียวกันนี้จึงเริ่มมีการใช้คำว่า "ระบบสุริยะ"
ขึ้นเป็นครั้งแรก[10]
ค.ศ.
1781 วิลเลียม เฮอร์เชล ค้นพบดาวเคราะห์ดวงใหม่คือ ดาวยูเรนัส โดยที่ในตอนแรกเขาคิดว่าเป็นดาวหาง[11] ต่อมาในปี ค.ศ. 1801 จิวเซปเป ปิอาซซี ค้นพบวัตถุโคจรอยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี
ในตอนแรกเขาคิดว่าเป็นดาวเคราะห์
แต่ต่อมาจึงมีการค้นพบวัตถุขนาดเล็กนับเป็นพันดวงในย่านอวกาศนั้น
ซึ่งในเวลาต่อมาจึงเรียกวัตถุเหล่านั้นว่า ดาวเคราะห์น้อย[12]
ไม่อาจระบุได้แน่ชัดว่า
ระบบสุริยะถูก "ค้นพบ" เมื่อใดกันแน่
แต่การสังเกตการณ์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 สามรายการสามารถบรรยายลักษณะและตำแหน่งของระบบสุริยะในเอกภพได้อย่างไม่มีข้อสงสัย
รายการแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1838 เมื่อฟรีดดริค เบสเซล สามารถวัดพารัลแลกซ์ของดาวได้ เขาพบว่าตำแหน่งปรากฏของดาวเปลี่ยนแปลงไปตามการเคลื่อนที่ของโลกที่โคจรไปรอบดวงอาทิตย์
นี่ไม่เพียงเป็นข้อพิสูจน์ทางตรงต่อแนวคิดดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางจักรวาล
แต่ยังได้เปิดเผยให้ทราบถึงระยะทางมหาศาลระหว่างระบบสุริยะของเรากับดวงดาวอื่นเป็นครั้งแรก
ต่อมาในปี ค.ศ. 1859 โรเบิร์ต บุนเซน และ กุสตาฟ เคอร์ชอฟฟ์ ได้ใช้สเปกโตรสโคปที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ตรวจวัดค่าสเปกตรัมจากดวงอาทิตย์
และพบว่ามันประกอบด้วยธาตุชนิดเดียวกันกับที่มีอยู่บนโลก
นับเป็นครั้งแรกที่พบข้อมูลทางกายภาพที่เกี่ยวโยงกันระหว่างโลกกับสวรรค์[13] หลังจากนั้น คุณพ่อแองเจโล เชคคี
เปรียบเทียบรายละเอียดสเปกตรัมของดวงอาทิตย์กับดาวฤกษ์ดวงอื่น
และพบว่ามันเหมือนกันทุกประการ
ข้อเท็จจริงที่พบว่าดวงอาทิตย์ก็เป็นดาวฤกษ์ดวงหนึ่งนำไปสู่ข้อสมมุติฐานว่าดาวฤกษ์ดวงอื่นก็อาจมีระบบดาวเคราะห์ของมันเองเช่นกัน
แม้ว่ากว่าจะค้นพบหลักฐานสำหรับข้อสมมุติฐานนี้จะต้องใช้เวลาต่อมาอีกกว่า 140
ปี
ค.ศ. 1992 มีการค้นพบหลักฐานแรกที่ส่อถึงระบบดาวเคราะห์แห่งอื่นนอกเหนือจากระบบของเรา
โคจรอยู่รอบดาวพัลซาร์ พีเอสอาร์ บี1257+12
สามปีต่อมาจึงพบดาวเคราะห์นอกระบบดวงแรกคือ 51
เพกาซี บี โคจรรอบดาวฤกษ์ลักษณะคล้ายดวงอาทิตย์ ตราบจนถึงปี ค.ศ. 2008
มีการค้นพบระบบดาวเคราะห์อื่นแล้วกว่า 221
ระบบ[14]
การสำรวจด้วยยานอวกาศ
ยุคของการสำรวจอวกาศด้วยยานอวกาศเริ่มต้นขึ้นนับแต่สหภาพโซเวียตส่งดาวเทียมสปุตนิก 1 ขึ้นสู่วงโคจรรอบโลกเมื่อปี
ค.ศ. 1957 โดยได้โคจรอยู่เป็นเวลา 1 ปี
ต่อมายานเอกซ์พลอเรอร์ 6 ของสหรัฐอเมริกา ขึ้นสู่วงโคจรในปี
1959 และสามารถถ่ายภาพโลกจากอวกาศได้เป็นครั้งแรก
ยานสำรวจลำแรกที่เดินทางไปถึงวัตถุอื่นในระบบสุริยะ
คือยานลูนา 1 ซึ่งเดินทางผ่านดวงจันทร์ในปี ค.ศ. 1959 ในตอนแรกตั้งใจกันว่าจะให้มันตกลงบนดวงจันทร์
แต่ยานพลาดเป้าหมายแล้วจึงกลายเป็นยานที่สร้างโดยมนุษย์ลำแรกที่ได้โคจรรอบดวงอาทิตย์
ยานมาริเนอร์ 2 เป็นยานอวกาศลำแรกที่เดินทางไปถึงดาวเคราะห์อื่นในระบบสุริยะ
คือไปเยือนดาวศุกร์ในปี ค.ศ. 1962 ต่อมายานมาริเนอร์ 4 ได้ไปถึงดาวอังคารในปี ค.ศ. 1965 และมาริเนอร์ 10 ไปถึงดาวพุธในปี ค.ศ. 1974
ยานอวกาศลำแรกที่ลงจอดบนวัตถุอื่นในระบบสุริยะได้คือยานลูนา
2 ของสหภาพโซเวียต ซึ่งลงจอดบนดวงจันทร์ได้ในปี
ค.ศ. 1959 หลังจากนั้นก็มียานลงจอดบนดาวอื่นได้มากขึ้นเรื่อยๆ
ยานเวเนรา 3 ลงจอดบนพื้นผิวดาวศุกร์ในปี 1966 ยานมาร์ส 3 ลงถึงพื้นดาวอังคารในปี 1971 (แต่การลงจอดที่สำเร็จจริงๆ คือยานไวกิ้ง 1 ในปี 1976)
ยานเนียร์ชูเมกเกอร์ไปถึงดาวเคราะห์น้อย 433 อีรอส
ในปี 2001 และยานดีปอิมแพกต์ไปถึงดาวหางเทมเพล 1 ในปี 2005
ยานสำรวจลำแรกที่ไปถึงระบบสุริยะชั้นนอกคือยานไพโอเนียร์
10 ที่เดินทางผ่านดาวพฤหัสบดีในปี ค.ศ. 1973 ต่อมาในปี ค.ศ. 1977 ยานสำรวจอวกาศในโครงการวอยเอจเจอร์จึงได้เริ่มต้นการเดินทางครั้งใหญ่
โดยเดินทางผ่านดาวพฤหัสบดีในปี 1979 ผ่านดาวเสาร์ในปี 1980-1981
ยานวอยเอจเจอร์ 2 ได้เข้าใกล้ดาวยูเรนัสในปี 1986 และเข้าใกล้ดาวเนปจูนในปี 1989 ปัจจุบันนี้ ยานสำรวจวอยเอจเจอร์ทั้ง 2 ลำได้เดินทางออกพ้นวงโคจรของดาวเนปจูนไปไกลแล้ว
และมุ่งไปบนเส้นทางเพื่อค้นหาและศึกษากำแพงกระแทก เฮลิโอชีท และเฮลิโอพอส ข้อมูลล่าสุดจากองค์การนาซาแจ้งว่า
ยานวอยเอจเจอร์ทั้ง 2 ลำได้เดินทางผ่านกำแพงกระแทกไปแล้วที่ระยะห่างประมาณ
93 หน่วยดาราศาสตร์จากดวงอาทิตย์[15]
กำเนิดและวิวัฒนาการ
ระบบสุริยะถือกำเนิดขึ้นจากการแตกสลายด้วยแรงโน้มถ่วงภายในของเมฆโมเลกุลขนาดยักษ์เมื่อกว่า 4,600
ล้านปีมาแล้ว เมฆต้นกำเนิดนี้มีความกว้างหลายปีแสง
และอาจเป็นต้นกำเนิดของดาวฤกษ์อื่นอีกจำนวนมาก[16]
เมื่อย่านเนบิวลาก่อนสุริยะ ซึ่งน่าจะเป็นจุดกำเนิดของระบบสุริยะ[17]เกิดแตกสลายลง โมเมนตัมเชิงมุมที่มีอยู่ทำให้มันหมุนตัวไปเร็วยิ่งขึ้น
ที่ใจกลางของย่านซึ่งเป็นศูนย์รวมมวลอันหนาแน่นมีอุณหภูมิเพิ่มสูงมากขึ้นกว่าแผ่นจานที่หมุนอยู่รอบๆ[16] ขณะที่เนบิวลานี้หดตัวลง มันก็เริ่มมีทรงแบนยิ่งขึ้นและค่อยๆ
ม้วนตัวจนกลายเป็นจานดาวเคราะห์ก่อนเกิด ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางราว
200 AU[16] พร้อมกับมีดาวฤกษ์ก่อนเกิดที่หนาแน่นและร้อนจัดอยู่
ณ ใจกลาง[18][19] เมื่อการวิวัฒนาการดำเนินมาถึงจุดนี้
เชื่อว่าดวงอาทิตย์ได้มีสภาพเป็นดาวฤกษ์ชนิด T Tauri ผลจากการศึกษาดาวฤกษ์ชนิด T Tauri พบว่ามันมักมีแผ่นจานของมวลสารดาวเคราะห์ก่อนเกิดที่มีมวลประมาณ
0.001-0.1 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ กับมวลของเนบิวลาในตัวดาวฤกษ์เองอีกเป็นส่วนใหญ่จำนวนมหาศาล[20] ดาวเคราะห์ก่อตัวขึ้นจากแผ่นจานรวมมวลเหล่านี้[21]
ภายในช่วงเวลา
50 ล้านปี
ความดันและความหนาแน่นของไฮโดรเจนที่ใจกลางของดาวฤกษ์ก่อนเกิดก็มีมากพอจะทำให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่นขึ้นได้[22] ทั้งอุณหภูมิ อัตราการเกิดปฏิกิริยา ความดัน
ตลอดจนความหนาแน่นต่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงสภาวะสมดุลอุทกสถิต โดยมีพลังงานความร้อนที่มากพอจะต้านทานกับการหดตัวของแรงโน้มถ่วงได้
ณ จุดนี้ดวงอาทิตย์จึงได้วิวัฒนาการเข้าสู่แถบลำดับหลักอย่างสมบูรณ์[23]
ภาพวาดโดยศิลปินแสดงให้เห็นวิวัฒนาการของดวงอาทิตย์
ซ้าย:
ดวงอาทิตย์ของเราในปัจจุบันซึ่งอยู่ในแถบลำดับหลัก
กลาง:
ดาวยักษ์แดง
ขวา: ดาวแคระขาว
ระบบสุริยะจะดำรงสภาพอย่างที่เรารู้จักกันในปัจจุบันนี้ไปตราบจนกระทั่งดวงอาทิตย์ได้วิวัฒนาการจนออกพ้นจากแถบลำดับหลักบนไดอะแกรมของเฮิร์ตสปรัง-รัสเซลล์ เมื่อดวงอาทิตย์เผาผลาญเชื้อเพลิงไฮโดรเจนภายในไปเรื่อยๆ
พลังงานที่คอยค้ำจุนแกนกลางของดาวอยู่ก็จะลดน้อยถอยลง ทำให้มันหดตัวและแตกสลายลงไป
การหดตัวจะทำให้แรงดันความร้อนในแกนกลางเพิ่มมากขึ้น
และทำให้มันยิ่งเผาผลาญเชื้อเพลิงเร็วขึ้น
ผลที่เกิดคือดวงอาทิตย์จะส่องสว่างมากยิ่งขึ้นโดยมีอัตราเพิ่มขึ้นประมาณ 10%
ในทุกๆ 1,100 ล้านปี[24]
ในอีกประมาณ
5,400 ล้านปีข้างหน้า
ไฮโดรเจนในแกนกลางของดวงอาทิตย์จะเปลี่ยนไปเป็นฮีเลียมทั้งหมด
ซึ่งเป็นอันจบกระบวนการวิวัฒนาการบนแถบลำดับหลัก ในเวลานั้น
ชั้นผิวรอบนอกของดวงอาทิตย์จะขยายใหญ่ขึ้นประมาณ 260 เท่าของขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางในปัจจุบัน
ดวงอาทิตย์จะกลายเป็นดาวยักษ์แดง การที่พื้นผิวของดวงอาทิตย์ขยายตัวขึ้นอย่างมหาศาล
ทำให้อุณหภูมิที่พื้นผิวของมันเย็นลงยิ่งกว่าที่เคยเป็นเมื่ออยู่บนแถบลำดับหลัก
(ตำแหน่งเย็นที่สุดคือ 2600 K) [25]
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ
ชั้นผิวนอกของดวงอาทิตย์จะแตกสลาย กลายไปเป็นดาวแคระขาว คือวัตถุที่มีความหนาแน่นอย่างยิ่งยวด
มวลประมาณครึ่งหนึ่งของมวลดั้งเดิมของดวงอาทิตย์จะอัดแน่นอยู่ในพื้นที่ของวัตถุขนาดประมาณเท่ากับโลก[26] การแตกสลายของชั้นผิวรอบนอกของดวงอาทิตย์จะทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่าเนบิวลาดาวเคราะห์ ซึ่งเป็นการส่งคืนสสารต่างๆ
อันประกอบขึ้นเป็นดวงอาทิตย์กลับคืนให้แก่สสารระหว่างดาว
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)